ใบ้ ผู้ชนะที่แท้จริง
อัศศิริ ธรรมโชติ
ใบ้ยิ่งวิ่งเข้ามาใกล้ เสียงร้องเรียกก็ยิ่งดัง พวกเด็กต่างลิงโลด กระโดดเต้นกันขวักไขว่
จนพวกผู้ใหญ่เองต้องส่งเสียงเรียกใบ้และปรบมือกันกราวไปพร้อมกับเด็ก ๆ ด้วย....
“ฮัลโหล ฮัลโหล...หนึ่ง สอง สาม...” เสียงจากเครื่องขยายเสียงตรงเส้นชัยสีแดง
ดังกังวานขึ้น... “โปรดอย่าเข้าใจผิด นายใบ้ที่กำลังนำหน้ามานั้น ไม่เกี่ยวกับการวิ่งแข่งมาราธอนครั้งนี้นะครับเนื่องจาก....” ฯลฯ
ใบ้วิ่งใกล้เส้นชัยเข้ามาทุกขณะ แต่คราวนี้เสียงเงียบจนได้ยินเสียงหอบหายใจของใบ้เอง....ผมตื่นเช้ามืดทุกวันเพราะถูกยายบังคับให้ตักบาตร ถนนริมทะเลหน้าบ้านเมื่อฟ้าสลัวลัวรางจะเห็นพระเดินเรียงกัน... มาแต่ไกล ๆ นั้นคล้ายกับเส้นสายสีเหลืองที่เคลื่อนพลิ้วอยู่ข้างหน้า ขณะที่ลมอ่อนโยนพัดคลื่นสีน้ำเงินเข้าหาฝั่งสีขาว แต่ผู้ที่มาก่อนพระจะเป็นกลุ่มคนที่แต่งชุดสีเขียว พวกเขามากับฝุ่นฟุ้งและเสียงดังเป็นจังหวะ ทั้งจากรองเท้าที่กระทบพื้นถนนและเสียงเพลงจากปากที่ร้องออกมาพร้อมๆ กันพวกนี้เป็นตำรวจพลร่มจากค่ายฝึกเหนือหมู่บ้าน
วันนี้ตำรวจพลร่มเคลื่อนผ่านผมไปแล้ว ... และ “เจ้าสายสีเหลือง” ก็ค่อยปรากฏขึ้นตรงหัวโค้งถนน
“ยาย..” ผมเอะใจร้องบอก “ วันนี้พระมาองค์เดียว...”
“ไม่ใช่หรอกอ้ายหนู...”ยายโผล่หน้าต่างชั้นบนบอกลงมา “นั่นมันใครก็ไม่รู้ วิ่งมาคนเดียว”
เขาวิ่งเข้ามาด้วยเท้าเปล่า ไม่มีเสียง นุ่งกางเกงขาสั้นสีเหลืองจีวรพระและเสื้อยืดคอกลมสีเดียวกัน ได้ยินแต่เสียงหอบหายใจในความสงัดยามเช้ามืด
“ใบ้ !....” ผมทักเขาเมื่อเห็นตัวแจ่มชัดแล้ว... “ใบ้จะวิ่งไปไหนน่ะ”
ใบ้ไม่ยอมหยุด โบกหยุดไหว ๆวิ่งผ่านหน้าผมไป ยิ้มเห็นปากแห้ง ฟันขาว แววตาเลิ่กลั่ก พลางก็ใช้เสียงแบะ แบะ เหมือนอย่างที่เคยได้ยิน
“อ้ายใบ้มันซ้อมวิ่งน่ะลูก” ยายบอกพร้อมหัวเราะอย่างเห็นขัน ก่อนจะหันกลับเข้าบ้านไป
ใบ้เป็นหนุ่มร่างล่ำสัน ผิวเผือกเป็นฝรั่ง ผมหยิกหยอยก็ออกสีแดงดำราวกับเปลือกไม้ย้อม ความผิดปกติของเขาเป็นมาแต่เกิด ลิ้นไก่สั้น หูค่อนข้างหนวก ต้องพูดตรงหน้าถึงได้ยิน ใบ้ฟังคนพูดรู้เรื่องแต่ต้องทำมือไม้ประกอบ คนคุยด้วยต้องจับคำที่เขาเปล่งออกมาสั้น ๆ และตะกุกตะกัก ลิ้นพันรัว เสียงอ้อแอ้ติดอยู่ในลำคอลึก เวลาอารมณ์ดีจะยิ้มและให้เสียงแบะ แบะ เป็นการทักทายคนคุ้ยเคย แต่ถ้าเขานั่งนิ่งเฉย คนแปลกหน้าจะไม่รู้ว่าเขาเป็นคนพิการ
ชีวิตของใบ้ สำหรับเด็ก ๆ อย่างผม คล้ายกับเสียงคลื่นขับกล่อมและเป็นเหมือน “ของเล่น” เพื่อความสนุกเพลิดเพลินและสร้างเสียงหัวเราะ
“แบะ แบะ” เสียงเด็ก ๆ ล้อเลียน ใบ้ได้ยินก็จะย่อตัวตั้งท่าวิ่งไล่กวด “เดี๋ยว-เคก-หัว-เลย...” ใบ้ว่าพร้อมกับงอมือเตรียมพร้อมครั้นได้เห็นเด็กๆ แตกฝูงวิ่งหน้าตั้งกันไปก่อน เขากลับยืนหัวเราะเฉย หรือถ้าหากว่าเขาออกไล่กวดไปจริง ๆ เด็กสักคนวิ่งหนีเกิดหกล้มร้องไห้ เขาก็จะเข้าไปอุ้มปลอบด้วยเสียงอ้อแอ้ พวกเรารู้ว่าใบ้เป็นคนใจดี จึงย่ามใจล้อเขาบ่อย เรียกเขาว่า ตาใบ้บ้าง อ้ายใบ้บ้าง บางทีก็ใบ้เฉย ๆ แต่เขาไม่เคยโกรธสักครั้ง ถ้าอารมณ์ไม่ดีเขาก็จะไม่เล่นด้วย เดินหนีไปเสียที่อื่น
พวกเรา-เด็ก ๆ รู้สึกว่าใบ้เป็น “ของเรา” ในหมู่บ้านริมทะเลเล็ก ๆ แห่งนี้ ใบ้เหมือนน้ำเค็ม เม็ดทราย เหมือนกับว่าวสีสวย และเหมือนกับผีเสื้อ แมงทับ ที่เราจับมาเล่นกันยายนุ่น ผู้เป็นแม่ของใบ้บ่นกับยายของผมในวันหนึ่ง ได้ยินว่า....
“โฮ้ย...อ้ายใบ้ของข้าน่ะ มันอยากจะเป็นทุกอย่างแหละ เห็นเขาชกมวยกัน มันก็ไปซ้อมกับเค้าด้วย หน้าตาบวมกลับมา ก็มันใบ้บ้ายังงั้น จะไปสู้ใครเค้าได้ เห็นเขาบวชพระมันก็อยาก
จะบวช เห็นเพื่อนเป็นทหารมันก็อยากจะเป็น ตอนเค้ารับสมัครตำรวจพลร่ม มันก็จะตามไปสมัครกับเค้าด้วย ข้าต้องบอกว่า ใบ้เอ๊ย คนอ่านหนังสือไม่ออกเค้าไม่เอาหรอก แต่มันดื้อนะ ดื้ออย่าบอกใครอ้ายนี่ เฮ้อ...! เวรกรรมชาติก่อนมันคงมากอยู่...” ยายนุ่นส่ายหัว
“ตอนนี้เห็นวิ่งตามพวกตำรวจพลร่มอยู่ทุกเช้า ใส่ชุดเหลืองยังกะพระออกบิณฑบาตแน่ะ” ยายผมบอก
“มันไปเอาของใครมาใส่ไม่รู้ บอกข้าว่าจะวิ่งแข่งงานปีใหม่ข้ารู้ว่ามันไปสมัครมาแล้วถูกเค้าไล่กลับมา คงเห็นมันใบ้บ้า ไม่เอามัน แต่ก็ยังซ้อมอยู่ทุกวัน บอกแล้วไม่รู้เรื่อง ปล่อยให้มันวิ่งของมันไปคนเดียว” ยายนุ่นว่าแล้วอดหัวเราะไม่ได้ “อ้ายนี่แรงมันมากมันมีแต่กำลัง” ในใจจริงแล้วใบ้อยากจะทำอะไร เป็นอะไร ไม่มีใครใส่ใจถือสานอกจากจะเห็นเป็นของขำ ใบ้ไม่เคยร้ายต่อใคร สำหรับพวกผู้ใหญ่ในหมู่บ้านนี้เขาเป็นคนที่ทั้งน่าสงสารและทั้งน่าขัน เป็นคนมีกำลังที่เรือหาปลาทุกลำอยากจะได้ แต่ใบ้ก็ไม่เคยทำอะไรจริงจัง นอกจากจะตกเบ็ดและหาปลามาให้ยายนุ่นผู้เป็นแม่ขายในตลาดเป็นบางครั้ง ติดเรือเร่ออกทะเลเป็นบางเที่ยว แล้วก็กลับมาอยู่กับบ้าน และอยู่ไปวัน ๆ โดยไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อใคร ความแข็งแรงของใบ้เป็นที่เลื่องลือรู้ดีกันในครั้งหนึ่งว่า เย็นวันหนึ่ง เขาพายเรือเล่นตาม
ชายฝั่ง ลมเกิดเปลี่ยนทิศเป็นพายุพัดเรือเขาออกไปไกลลึก ลับหายไปกับขอบฟ้า และลมฝนจู่โจมคืนหนึ่งเต็ม ๆ ที่ยายนุ่นร่ำไห้ จนเช้าวันต่อมา คนในหมู่บ้านถึงได้เห็นเขาจ้ำพายพาเรือกลับมาอย่างปลอดภัย คืนนั้นทั้งคืนที่ใบ้ต้องพายเรือต้านแรงลมอยู่โดยไม่ได้หลับนอน
ครั้งนั้นพวกเรา-เด็ก ๆ นึกว่าใบ้ตายแล้ว จึงดีใจแหนแห่ไปต้อนรับเขาเกรียวกราวเขาก็ยิ้มเห็นปากแห้ง ฟันขาว แววตาเลิกลั่กพลางก็ให้เสียงแบะ แบะ เหมือนอย่างที่เคยได้ยิน
ความรู้สึกว่าใบ้เป็น “ของเรา” นี่เอง ที่ทำให้ผม เพื่อน ๆ และเด็กเกือบทั้งหมู่บ้านพากันส่งเสียงเอาใจช่วยเขาเกือบเป็นเสียงเดียวกันในวันที่เขาวิ่งแข่ง
วันขึ้นปีใหม่ ทางอำเภอได้จัดให้มีการแข่งวิ่งทนเป็นระยะทางยาวรวมสิบกิโลเมตร มีผู้เข้าแข่งขันมากมาย แต่ที่วิ่งเท้าเปล่า ไม่มีเสียง นุ่งกางเกงขาสั้นสีเหลืองจีวรพระ และเสื้อยืดคอกลมสีเดียวกันนั้นนำหน้าทิ้งกลุ่มมาไกลห่าง....พวกเรา-เด็ก ๆ ต่างกระโดดตัวลอยส่งเสียงเรียกใบ้กันขรมทีเดียว
“ฉิบหายแล้วโว้ย ! อ้ายใบ้มันนำมานี่หว่า” เสียงผู้ใหญ่ยืนข้าง ๆ ผมพูดขึ้น
“นั่นน่ะซี....เฮ้ย ! มันแข่งด้วยหรือวะ ก็ไหนว่ากรรมการเขาไม่รับสมัครมันไงล่ะ”
ผู้ใหญ่อีกคนหนึ่งว่า ใบ้ยิ่งวิ่งเข้ามาใกล้ เสียงร้องเรียกก็ยิ่งดัง พวกเด็กต่างลิงโลดกระโดดเต้นกัน
ขวักไขว่ จนพวกผู้ใหญ่เองต้องส่งเสียงเรียกใบ้และปรบมือกันกราวไปพร้อมกับเด็ก ๆ ด้วย
“ฮัลโหล ฮัลโหล....หนึ่ง สอง สาม....” เสียงจากเครื่องขยายเสียงตรงเส้นชัยสี
แดงดังกังวานขึ้น “โปรดอย่าเข้าใจผิด นายใบ้ที่กำลังนำหน้ามานั้น ไม่เกี่ยวกับการวิ่งแข่งมาราธอนครั้งนี้นะครับ เนื่องจากนายใบ้ขาดคุณสมบัติบางอย่าง กรรมการไม่ได้รับสมัครและไม่มีรายชื่ออยู่ในผู้เข้าแข่ง...ฮัลโหล ฮัลโหล...ทางคณะกรรมการไม่สามารถจะห้ามนายใบ้ได้ แม้จะชี้แจงแล้ว นายใบ้ก็ยังออกวิ่งตามมาด้วย การชนะของนายใบ้ถือเป็นโมฆะนะครับ....”
ใบ้วิ่งใกล้เส้นชัยเข้ามาทุกขณะ แต่คราวนี้เสียงเงียบจนได้ยินเสียงหอบหายใจของใบ้เอง
“ฮัลโหล ฮัลโหล....หนึ่ง สอง สาม...” เสียงจากเครื่องขยายดังขึ้นอีก... “พ่อแม่พี่น้องทั้งหลาย ผู้ชนะที่แท้จริงนั้นได้แก่เบอร์ยี่สิบที่วิ่งตามหลังนายใบ้มา...”
คราวนี้เสียงโห่ดังขึ้นทั้งสองฟากถนน เป็นเสียงทั้งจากผู้ใหญ่ เด็ก และเมื่อใบ้ถึงเส้นชัย หลายคนก็เข้าไปรุมล้อมแสดงความยินดีต่อเขาโดยไม่ยอมใส่ใจเสียงจากเครื่องขยายนั้นเลย ซึ่งก็ได้แต่ส่งเสียงฮัลโหล ฮัลโหล....หนึ่ง สอง สาม... อย่างขาดคนสนใจฟัง
เมื่อนายอำเภอได้มอบถ้วยที่เหมือนกับเครื่องหมายยาทาแก้พิษ แมลงตะขาบกัดต่อยให้กับผู้ชนะหมายเลขยี่สิบที่วิ่งตามหลังใบ้มานั้นใบ้ยืนหลบอยู่กลางวงล้อมของเด็ก ๆ ในขณะที่ผู้ใหญ่หลายคนเริ่มเห็นเป็นเรื่องตลก ครั้นแล้วเสียงปรบมือเปาะแปะก็กลับเงียบกริบลงเมื่อผู้ชนะหมายเลขยี่สิบเดินถือถ้วยใบโตมาส่งต่อให้ใบ้ พลางก็ชูมือใบ้ขึ้นท่ามกลางเสียงโห่ร้องราวกับเสียงคลื่นทะเลเมื่อยามหน้ามรสุม
เด็ก ๆ ตีลังกาด้วยความดีใจก่อนเข้ามารุมล้อมใบ้ เรียกชื่อเขาอีกครั้ง ขณะที่ใบ้ยิ้มเห็นปากแห้ง ฟันขาว และแววตาเลิ่กลั่ก พลางก็ให้เสียงแบะ แบะ เหมือนที่เคยได้ยิน
ผมเห็นร่างของเขาไหวเป็น “ เส้นสายสีเหลือง” เคลื่อนพลิ้วอยู่ในฝูงคน
ที่มา : อัศศิริ ธรรมโชติ รวมเรื่องสั้นของนักเขียนซีไรท์ งามแสงเดือน กรุงเทพมหานคร : มิ่งมิตร,
2543
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น